หลากเรื่องแปลรัก



เรื่องเล่าแปลรักเป็นความ (1) “กินข้าวไหม” & “อยากให้รู้ใจผม”


ผู้ชาย คนหนึ่ง เป็นคนทำงานรับผิดชอบงานดีมาก ทุกๆ วันหลังเลิกงาน เขาจะรีบกลับบ้าน พอถึงบ้าน ภรรยาก็ถามว่า “กินข้าวมาหรือยัง กินข้าวไหม”  เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน “ทำไมถึงถามอย่างนี้ ผมอุตส่าห์รีบกลับมา ผมก็ต้องกินข้าวกับคุณสิ ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมา ๑๕ ปี แท้ๆ ทำไมไม่รู้ใจกัน” พอมีเวลาได้ใคร่ครวญว่า ที่ภรรยาถามอย่างนี้ทำไม จริงๆแล้ว เธอไม่ใช่อยากรู้ว่าสามีกินข้าวหรือยังหรอก แต่เธออยากแสดงความห่วงไย เขาอาจแปลความหมายผิด พอคิดถึงใจของภรรยาที่เป็นแม่บ้าน อุตส่าห์ออกจากงานมาเลี้ยงดูลูก เธอคงจะเหงา ทุกวันรอให้ได้เจอหน้ากัน พอเจอหน้าก็เลยถามคำถามนี้ แต่เขากลับไม่เข้าใจ


ผมถามว่าอยากให้ ภรรยาทำอย่างไร เขาอยากให้ภรรยารู้ใจ ไม่ต้องถามหรอก มานั่งกินข้าวด้วยกันเลย พอเขามาเรียน ก็เริ่มเข้าใจ กลับไปวันนั้นจึงตั้งใจจะไม่ทำแบบเดิม และเห็นคุณค่าของการกระทำของภรรยา พอภรรยาถามว่า กินข้าวไหม เขาก็แค่พูดเบาๆว่า “กิน อยากกิน” วันนั้นเป็นวันที่เขาเริ่มเปลี่ยนความสัมพันธ์กับภรรยา เพราะปกติภรรยาจะเห็นเขาอารมณ์ไม่ดี จึงเอาอาหารมาให้ แต่ไม่นั่งกินด้วย แต่วันนั้นเลยมานั่งกินด้วยกัน ทำให้ได้นั่งคุยกัน


เรื่องเล่าแปลรักเป็นความ (2) “ข้ามขอบแดนของตัวตน”
เรื่อง นี้เป็นลักษณะของผู้ชายที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงออกว่ารัก เขาคิดว่า ถ้าเขาแสดงออกความรักอย่างจริงใจ มันก็น่าจะพอแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าภรรยาอยากได้ยินคำว่า คิดถึง รัก เป็นห่วง แต่ก็จะหนักปาก พูดไม่ออก เขิน หรือ กลัวไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสำหรับผู้หญิงแล้ว เธออาจจะไม่ได้อยากได้ยินคำว่ารัก แต่อยากได้การยืนยัน การสื่อสาร การส่งสัญญาณ

ผู้ชายคนนี้หลังจากทำงาน กลับบ้านมาจะช่วยทำงานบ้านและเลี้ยงลูก แต่เวลาเขาอุ้มลูก เขาอุ้มเหมือนแบกของ เขาทำด้วยความรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไร จนเริ่มโดนภรรยาบ่นว่า เวลาที่ทำอะไรอยากให้ใส่ความรู้สึกลงไปด้วย ไม่ใช่สักแต่ทำให้เสร็จๆ ผู้ชายก็งง ไม่เข้าใจ เพราะคิดว่าเขาได้ให้ทุกอย่างแล้ว จะให้เขามาใช้ความรู้สึกมันก็แปลกๆ ไม่ใช่ตัวเขา

พอได้มาร่วม การอบรม มันก็เริ่มทำให้คิดว่า ถ้าเขาข้ามขอบแดนของตัวตนอันนี้ สื่อสารความรู้สึกมากขึ้น คนที่เขารักน่าจะเข้าใจเขาและมีความสุขมากขึ้น หลังจากคิดแล้วคิดอีก เขาก็ตัดสินใจโทรหาภรรยาในคอร์ส เพื่อบอกว่า - เขามีเรื่องสำคัญอยากจะบอก ที่ผ่านมา เขารู้สึกขอบคุณที่ภรรยาทำทุกอย่างให้เขา รู้สึกเป็นห่วงและคิดถึงนะ- เขาพูดแค่นั้น อีกฝั่งของสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ร้องไห้ ตัวผู้ชายก็แปลกใจมากว่า มันแค่นี้เองหรือ เขาดีใจที่เขาสามารถให้ในสิ่งที่คนรักอยากได้ สิ่งนี้เป็นการก้าวข้ามที่สำคัญมากในความสัมพันธ์ ขอแค่ให้ใช้ใจที่กล้าที่จะไม่เป็นตัวของตัวเอง ขยายขอบเขตความเป็นตัวเองออกไป ใช้ความรักและความรู้สึกมากขึ้น

ผม คิดว่า เราทุกคนต่างมีขอบเขตของความเป็นตัวตนที่เราคุ้นชิน เราทำโดยคิดว่านี่คือตัวเรา อย่ามาเปลี่ยนฉันเลย แต่อีกแง่เราก็อยากหาวิธีการอื่นๆ ที่จะให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น และเราก็รู้อยู่ว่า ถ้าเราไม่ข้ามขอบแดนนี้ไป ปัญหาในรูปแบบเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ถ้าเรายอมเป็นมากกว่าสิ่งที่เราเป็น ความสัมพันธ์ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป

เรื่องเล่าแปลรักเป็นความ (3) “ขอเวลาให้ฉันบ้าง”
ผู้ชาย อีกคนเป็นวิศวกร ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาก เพราะเป็นคนช่างดูแลลูกน้องและไม่เคยปฏิเสธ หลายครั้งก็จะหิ้วงานไปทำที่บ้าน ปกติเขาจะอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คและเสียบหูฟังอยู่ตลอดเวลา ขนาดกินข้าวก็เสียบบลูทูธด้วย ภรรยาก็เข้าอกเข้าใจมาตลอด จนปีที่ ๗-๘ ภรรยาเริ่มรู้สึกว่า สามีของฉันหายไปไหน ความต้องการของฉันไม่เคยถูกเห็นเลย สามีดูแลโลกทั้งใบ แต่ปล่อยให้เมียอยู่กับความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งความต้องการของเธอก็มีเพียงแค่ ขอเวลานั่งกินข้าวคุยกันโดยไม่มีโทรศัพท์ซักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ฝ่ายสามีก็รับปากว่าจะเปลี่ยนนะ แต่ทุกครั้งที่มีโทรศัพท์มาก็จะรับ เพราะเขาคิดว่ายิ่งเขาสามารถจัดการงานได้เท่าไหร่ เขายิ่งได้รับความยอมรับ น้องๆ ในทีมก็รักเขา แต่นับวันๆ ภรรยากลับรู้สึกถูกละเลยและห่างเหินกันมากขึ้นทุกที ภรรยาก็ไม่รู้จะบอกจะขออย่างไรแล้ว รู้สึกเจ็บปวด น้อยใจ อยากจะรักสามีเหมือนที่เคยรัก แต่พอความรักไม่ได้รับการหล่อเลี้ยง มันก็เหือดแห้ง ด้านสามีก็รู้สึกผิด พยายามแก้อยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับไปเป็นอีก ซึ่งคู่นี้เขาก็พยายามปรับตัวกันอยู่ ฝ่ายชายเป็นคนที่คำสัญญาง่าย แต่ฝ่ายผู้หญิงต้องการการกระทำที่เป็นจริงที่ทำให้เธอวางใจได้ว่าเขาได้ยิน ความต้องการที่ฉันบอกไปนานแล้วจริงๆ

นี่คือตัวอย่างของตัวตน ที่ล็อค ทั้งๆที่รักกันมาก ครอบครัวอบอุ่นดี หลายๆคู่เมื่อเจอปัญหาจะเลือกเก็บความรู้สึก ความต้องการของตัวเอง เพื่อลดความขัดแย้ง ยอมที่จะเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อรักษาครอบครัวเอาไว้ จุดหนึ่งก็อาจจะระเบิด หรือเริ่มเห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว มีแรงดึงดูดของคนที่ 3 เรื่องเล็กๆ แบบนี้ นำไปสู่เรื่องใหญ่ได้

เรื่องเล่าแปลรักเป็นความ (4) “ลองขอร้อง”
ผู้ หญิงคนหนึ่งที่รักลูกและสามี อุทิศตัวเองเพื่อดูแลครอบครัว ใช้แรงกายและใจในการทำ มากกกว่าพูด มีปัญหาอะไรก็จะเก็บไว้ เพราะกลัวพูดไปแล้วจะเกิดความขัดแย้ง เวลาไม่พอใจก็จะแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง สามีก็รู้สึกสับสน ไม่เข้าใจ ผู้ชายอยากให้สื่อสารด้วยคำพูดแทนการใช้อารมณ์แสดงออก เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่ผู้หญิงบอกว่าเรื่องพวกนี้ฉันพูดไม่ได้ เธอต้องดูเอาเอง บางทีไอ้ที่หงุดหงิดก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ผู้ชายไม่ได้ดูแลลูกในยามที่เธอต้องการ

ผู้หญิงเชื่อว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็น่าจะรู้ใจกัน ไม่ต้องขอ เพราะผู้หญิงเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาตลอด เลยไม่ชอบขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ผู้ชายอยากได้การสื่อสารที่ชัดเจน เพราะกลัวทำไปแล้วไม่ถูกใจ วันหนึ่งสามีเลยขอว่า ถ้าเราสื่อสารกันอย่างนี้ เราจะมีปัญหาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรามาตกลงกันว่าต่างฝ่ายต่างปรับดีไหม ฝ่ายผู้ชายก็จะลองทำอะไรโดยที่ไม่ต้องถาม ใช้สัญชาติญาณให้มากขึ้น ส่วนผู้หญิงก็พยายามสื่อสาร ถ้าเริ่มไม่พอใจซักระดับ 3 หรือ 4 ก็ให้สื่อสารได้เลย ไม่ต้องรอให้ไม่พอใจระดับ 10 แล้วมาแสดงออกทางสีหน้าซึ่งฝ่ายชายไม่ชอบ พอเริ่มปรับพฤติกรรม บรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น ฝ่ายหญิงเริ่มเห็นคุณค่าของการสื่อสาร

ผม คิดว่าหลายคนน่าจะมีพฤติกรรมที่ร้องขอได้ยาก อุปสรรคของการร้องขอมาจากความกลัวถูกปฏิเสธ แต่ถ้าเราฝึกได้ เราจะทำให้คู่ของเรารู้ว่า เขาจะช่วยให้เรามีความสุขได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีการสื่อสารตรงนี้เลย เราก็จะไม่เข้าใจกัน

No comments:

Post a Comment

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...